“อีฟ โรเช่” ทยอยยกเลิกทำตลาดเมคอัพในประเทศไทย ชี้ภาพรวมตลาดบิวตี้ในไทยปีนี้่น่าจะดีขึ้นมาบ้าง ตกลงเหลือตัวเลขหลักเดียว เดินหน้าทำตลาดต่อเนื่อง มุ่งหนักช่องทางออนไลน์ วางเป้าทยอยปิดสาขาอีก 15 แห่ง พร้อมตั้งเป้าปีนี้เติบโต 19%
นางสาววิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากประเทศฝรั่งเศส ภายใต้แบรนด์ “Yves Rocher (อีฟ โรเช่)” เปิดเผยว่า ในปี2565นี้อีฟโรเช่ในประเทศไทยเตรียมที่จะยกเลิกการทำตลาดสินค้ากลุ่มเมคอัพ ซึ่งขณะนี้ยังพอมีสินค้าเดิมอยู่ในตลาดคาดว่าประมาณเดือนมีนาคมนี้น่าจะทยอยหมดลง เนื่องจากยอดขายกลุ่มนี้ในไทยลดลงมาต่อเนื่องตั้งแต่มีสถานการณ์โควิด-19ระบาด ล่าสุุดเหลือสัดส่วนยอดขายเพียงแค่ 2% เท่านั้น แต่หากในอนาคตหากตลาดรวมกลับมาดีขึ้นก็จะนำกลับมาทำตลาดใหม่
ขณะที่ในแง่ของตลาดรวมผลิตภัณฑ์ความงามปีนี้(2565)คาดว่าสถานการณ์น่าจะกลับมาดีขึ้นบ้างตามลำดับ
เพราะผู้ประกอบการมีการปรับตัวกันได้ชนิดเกือบสมบูรณ์แล้วกำลังซื้อเริ่มกระเตื้องขึ้นและช่องทางออนไลน์เติบโตดีและจะกลับมาติดลบเพียงหลักเดียวหลังจากที่ตลาดรวมติดลบสองหลักมาต่อเนื่อง2ปีแล้วเพราะสถานการณ์โควิดเป็นหลักทั้งที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนคือปี2563มีมูลค่าตลาดลดลง11%แต่บริษัทสามารถสร้างการเติบโตที่สวนกระแสได้ถึง6%และในปี
2564มูลค่าตลาดความงามโดยรวมลดลง12%หรือมีมูลค่าประมาณ75,000ล้านบาท(อ้างอิงจากยูโรมอนิเตอร์กับนีลเส็น)
อย่างไรก็ตามนางสาววิลาสินี กล่าวว่าอีฟ โรเช่ ประเทศไทยแม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทั้งเศรษฐกิจไม่ดีกำลังซื้อลดลงในช่วงที่ผ่านมาโควิดระบาดแต่ก็มีการปรับตัวปรับกลยุทธ์รับมือกับโควิดอย่างดีจึงทำให้ปีแรกที่โควิดระบาดคือ
ปี2563ตลาดรวมลดลง11%แต่บริษัทเติบโตถึง6%และปี2564ตลาดรวมลดลง12%หรือมีมูลค่าประมาณ75,000ล้านบาท
แต่บริษัทเติบโต7%จากการปรับตัวและสร้างภาพลักษณ์ให้ดึงดูดและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ยุคดิจิทัลเอจเพื่อเข้าสู่Digital
Transformation
ทั้งนี้ในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่1,420ล้านบาทเติบโตประมาณ19%โดยจะมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผมซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนในการสร้างรายได้กว่า75%และอีก25%ของรายได้จะมาผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งบริษัทฯ
ยังเตรียมที่จะผลักดันธุรกิจที่เป็นบริการนวดโดยจะมีการเปิดตัวใหม่อีกครั้งและคาดว่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับรายได้ในปีนี้ซึ่งเดิมสัดส่วนรายได้30%จากการทำทรีทเมนต์สปา แต่ว่าล่าสุดตกลงเหลือแค่10%
เท่านั้นตั้งเป้าหมายปีนี้่จะกลับมาที่20%ให้ได้โดยเมื่อปี2564มีรายได้รวมประมาณ1,190ล้านบาทส่วนปี2563มีรายได้รวมประมาณล้านบาท 1,120ล้านบาทและปี2562มีรายได้รวมประมาณ1,050ล้านบาท
ส่วนช่องทางการขายที่เป็นหน้าร้านหรือออฟไลน์นั้น ปีนี้คาดว่าจะมีการทยอยปิดสาขาลงอีก เนื่องจากพิจารณาแล้วบางแห่งไม่คุ้มค่าเพราะทราฟฟิกยังมีน้อยแค่ประมาณ 30% เท่านั้นเองที่มาหน้าร้าน คาดว่าจะปิดปีนี้่อีกประมาณ 15 สาขา จากขณะน้้มีหน้าร้านเหลือ 70 สาขา จากก่อนหน้าโควิดมีประมาณ 128 สาขา แต่ก็จะไปมุ่งเน้นช่องทางการขายออนไลน์ โซเชียลคอมเมิร์ซมากขึ้นด้วย เพราะมีการเติบโตที่่ดี โดยสัดส่วนช่องทางการขายปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ หนส้าร้านค้า60% และอีก 40% เป็นช่องทางออนไลน์ (แบ่งเป็นมาร์เก็ตเพลซ 70% และออนไลน์ของบริษัทฯเอง 30% จากปีที่แล้ว มาร์เก็ตเพลซ85% และของบนริษัทฯเองที่ 15% )
อีกทั้งช่องทางออนไลน์ทำให้บริษัทฯได้ฐานลูกค้าใหม่และกลุ่มมิลเลนเนียมเข้ามามากขึ้นด้วย เช่นปี2563ได้ลูกค้าใหม่ 150,000ราย และปี2564ได้ลูกค้าใหม่ 180,000 ราย ซึ่งมีฐานสมาชิกอยู่ที่ 600,000 ราย โดยมีแอคทีฟประมาณ 300,000 ราย คือกลุ่มที่มีการซื้อสินค้ามากกว่า 2 ครั้วงในช่วง12 เดือน โดยที่ฐานลูกค้าใหม่ที่เข้ามานั้นทำให้ฐานอายุเฉลี่ยลูกค้ารวมอยู่ที่ 32 ปี จากเดิมก่อนหน้านี้อายุเฉลี่ยที่ 48 ปี โดยที่กลุ่มลูกค้าเดิมที่สูงอายุนั้นลดลงไปบ้างเนื่ืองจากมีความอ่อนไหวกับสถานการณ์ต่างๆและกำลังซื้อบ้าง
“จากการปรับตัวและสร้างภาพลักษณ์ให้ดึงดูดและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ยุคดิจิทัลเอจ เพื่อเข้าสู่Digital Transformationทั้งการปรับรูปแบบการสื่อสารและเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ จนสามารถขึ้นมาเป็นอันดับ 1 บน Social Listeningในกลุ่มสินค้าความงาม และด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งซื้อสินค้าออนไลน์กันมากขึ้น ทางบริษัทจึงได้เพิ่มและปรับกลยุทธ์ในการทำการตลาด รวมทั้งช่องทางการจำหน่าย ผนวกกับการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในโมเดลใหม่ โดยเน้นการใช้กลยุทธ์ Omni-Channel อย่างเต็มที่ เพื่อเชื่อมโยงทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และปีนี้ อีฟ โรเช่ ได้ตัวแทนคนรุ่นใหม่อย่าง ใหม่-ดาวิกา โฮร์เน่ และ กลัฟ- คณาวุฒิ ไตรพิพัฒนพงษ์ มานั่งแท่นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อเจาะกลุ่มGreen Generation Millennials (คนรุ่นใหม่ที่รักสินค้าธรรมชาติและเริ่มสนใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม) ตอกย้ำ Brand IDผ่านแคมเปญ “ACTS OF LOVE”มุ่งสื่อสารถึงจุดยืนของอีฟ โรเช่ ที่มีต่อโลกใบนี้” นางสาววิลาสินี กล่าว
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ มุ่งดำเนินธุรกิจภายใต้โจทย์หลักคือการพัฒนาองค์กรและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปด้วยกัน ซึ่งบริษัทยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติมายาวนานกว่า 60 ปี นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งแบรนด์ Yves Rocherที่ประเทศฝรั่งเศส
เราจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อนำเสนอทางเลือกใหม่ที่ใส่ใจทั้งสุขภาพความงามและสิ่งแวดล้อมให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ที่กำลังมาแรงในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น กลายเป็นทางเลือกใหม่ ในใจผู้บริโภค จึงได้สานต่อโครงการ “สวยโลกไม่เสีย ซีซั่น3” เพื่อแสดงออกและตอกย้ำจุดยืนของบริษัทฯ ในการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่ง อีฟ โรเช่ เป็นแบรนด์แรกในตลาดที่ผลิตภัณฑ์ทำมาจากพลาสติกรีไซเคิลและสามารถนำไปรีไซเคิลต่อได้ 100% นอกจากเป็นการลดใช้พลาสติกแล้ว ยังมีการลดใช้สารเคมีต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
นอกจากนี้ Yves Rocherยังกำหนดจัดงาน ACTs OF LOVE TOGETHER FAIR รวบรวมคนหัวใจกรีนที่มีจุดมุ่งหมายและพันธกิจเพื่อโลกใบนี้ มาสร้างสรรค์กิจกรรมต่างๆ ที่มีความหลากหลายในการสร้างการรับรู้และกระตุ้นจิตสำนึกให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงและให้ความสำคัญในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม และอัพเดทความรู้ใหม่ๆ ได้ระหว่างวันที่5-7 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 11.00 น. ณ Warehouse 30
อ้างอิง
https://m.mgronline.com/business